Tuesday 27 December 2011

You & I หรือ You & Me

หลังจากต้องปวดหัวจี๊ดกับ คำง่ายๆ ใน Facebook ของนักศึกษาหลายคน ก็เลยเก็บมาเป็นตัวอย่างให้ศึกษากันนะค่ะ เรื่องมีอยู่ว่านักศึกษามักจะสับสนระหว่างการใช้ “You and I” หรือ “You and me” เสมอ จริง ๆ แล้วเนี่ยไม่ยากอย่างนั้นค่ะแค่ใส่ใจหน่อยหนึ่งก็จะเข้าใจว่ามันง่ายจริง ๆ ค่ะ

ลองดูค่ะว่าประโยคไหนถูกระหว่าง

1. You and I should go to a library.
2. You and me should go to a library.

ประโยคที่ถูกต้องคือประโยคที่ 1 ค่ะ อ้าวทำไม หลายคนคงสงสัย มีวิธีการช่วยคิดง่าย ๆ คือ ลองแบ่งประโยคดูนะค่ะ

1. I should go to a library.
2. Me should go to a library.

อัน ไหนถูก แน่นอนต้องประโยคแรกเพราะประโยคแรก I ทำหน้าที่เป็นประธาน ส่วน me ทำหน้าที่เป็นกรรม คงเอามาวางไว้ตรงตำแหน่งประธานไม่ได้ ดังนั้นเวลานำมารวมก็เลยเป็น You and I should go to a library.

Imperative Sentences

จริง ๆ แล้วทุกคนก็คงพอจะทราบกันดีว่าประโยคในภาษาอังกฤษนั้นมีโครงสร้างพื้นฐานประกอบไปด้วย ประธาน กริยา แต่จริง ๆ แล้วรู้หรือไม่ค่ะว่ายังมีประโยคประเภทหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีประธานในประโยคก็ได้ ประโยคเหล่านั้นเราเรียกว่า Imperative

ประโยค Imperative ก็คือ ประโยคคำสั่ง ใช้สำหรับการออกคำสั่ง ให้คำแนะนำ เสนอแนะ หรือบางครั้งอาจจะหมายถึงการสั่งห้ามไม่ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โครงสร้างประโยคนี้จะขึ้นต้นด้วยกริยาช่องที่ 1 (Infinitive) ได้เลย เช่น

Sunday 23 October 2011

Gerund or Infinitive

GERUND = ING

คือ กริยาที่เป็น Subject ได้เมื่อเสนอหน้าอยู่หน้าประโยค Cutting in line makes someone angry.

คือ กริยาสามารถแทรกกลางประโยคตามได้หลัง verb เฉพาะที่ต้องตามด้วย ing เท่านั้น Don't try cutting in line.

และหลัง Preposition ทั้งหลาย Before talking, please notice that you aren't cutting in line.

หลาย คนคง งง ว่าที่มันแทรกอยู่กลางประโยคเนี่ยมันมี Verb บังคับตัวไหนมั่ง แล้วตัวไหนเป็น INFINITIVE ตัวไหนเป็น GERUND มาดูกันเลยดีกว่า


VERB ดังต่อไปนี้เจอเมื่อไหร่ข้างหลังต้องเป็น V.ing เท่าันั้น

admit appreciate avoid compare confess consider delay deny detest enjoy escape excuse

fancy finish forgive imagine involve keep mention mind miss practice postpone recognize discuss

recollect report resent resist risk spend suggest prevent understand feel quit defer recall

complete anticipate tolerate


Thursday 13 October 2011

"Have" or "Have got"

“เคยมีคนถามว่า คำกริยา ‘have’ กับ ‘have got’ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร วันนี้เราลองมาดูคำกริยา 2 ตัวนี้กันสักหน่อยนะคะ”

อัน ที่จริงแล้ว กริยา 2 ตัวนี้ ก็คือคำกริยาตัวเดียวกันนั่นเอง ‘have got’ เป็นภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) และมักใช้ในภาษาพูด หรือภาษาที่ไม่เป็นทางการ (informal) มากกว่าภาษาเขียน หรือภาษาที่เป็นทางการ (formal) มีความหมายเท่ากับ ‘มี’

ถ้าถามว่าคำกริยา 2 ตัวนี้จะใช้แทนกันได้ทุกกรณีมั้ย คงจะไม่ใช่ค่ะ

ก่อน อื่นเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ‘have’ นั้น มีความหมายมากกว่า ‘มี’ ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ อย่างที่เราคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่เราจะพบ ‘have’ ในความหมายว่า ‘กิน’ หรือ ‘รับประทาน’ ด้วย เช่น ‘I usually have eggs for breakfast.’ อีกความหมายหนึ่ง ที่เราพบบ่อยๆก็คือ การใช้คำกริยา ‘have’ ในการพูดถึงการเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ‘She has a headache.’หรือ ‘He has a pain in his back.’

นอกจากนั้น ‘have’ ยังใช้ในความหมายที่คล้ายๆกับ ‘take’ ได้อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ จะตามด้วยคำนามที่มีรูปที่เป็นได้ทั้งคำนาม และคำกริยา เช่น ‘have a shower’, ‘have a rest’, ‘have a try’, ‘have a look’

ใน บรรดาการใช้ ‘have’ ทั้งหมด ที่ว่ามาข้างบนนี้ มี ‘have’ ที่ใช้ในความหมายว่า ‘มี’ กับ ‘have’ ที่เราใช้พูดถึงการเจ็บไข้ได้ป่วยเท่านั้น ที่เราสามารถใช้ ‘have got’ ได้ เช่น ‘I have got 2 books.’, I have got a headache.’ นอกนั้นจะใช้ ‘have got’ ไม่ได้เลยค่ะ จะต้องเป็น ‘have’ เท่านั้น

Saturday 8 October 2011

Confortable vs Convenient

คงมีหลาย ๆ คนสงสัยว่า คำว่า confortable กับ convenient ซึ่งแปลว่าสบายทั้งคู่ มันมีความแตกต่างกันอย่างไรใช่ไหมค่ะ ก็อธิบายให้ฟังแบบง่าย ๆ ดังนี้น่ะค่ะ

ความหมายของสองคำนี้ในภาษาไทยแปลได้ว่า "สบาย" ทั้งคู่ แต่คำว่า comfortable ให้ความหมายที่แปลว่าว่า สบายเนื้อ สบายตัว ในขณะที่ convenient มีความหมายว่า สะดวกสบายค่ะ เช่น

My new Italian leather sofa is very comfortable.  โซฟาหนังจากอิตาลีตัวใหม่ของฉันนั่งสบายมากๆ

I prefer taking a skytrain because it is more convenient.  ฉันชอบใช้บริการรถไฟฟ้าเพราะมันสะดวกกว่า

เห็นไหมค่ะคำว่า comfortable ในประโยคแรกให้ความหมายว่า "สบาย" ส่วน convenient ในประโยคที่ 2 ให้ความหมายว่า "สะดวก" ค่ะ ลองดูประโยคนี้น่ะค่ะ

Taking a skytrain is not only convenient but also comfortable.  หมายความว่าการนั่งรถไฟฟ้าไม่ใช่แค่สะดวกเท่านั้นนะ แต่ยังนั่งสบายด้วย

Source
http://tulip.bu.ac.th/~jiraporn.k/english%20tips.htm

Do or Make ?

Written by Rainny
            เชื่อว่าบางคนอาจจะยังสับสนกับการใช้ Do กับ Make ในบางประโยค เพราะสองคำนี้มีความหมายในภาษาไทยเหมือนกัน คือ “ทำ” วันนี้ก็เลยจะมาอธิบายความหมาย และหน้าที่ของแต่ละคำให้ชัดเจนไปเลยค่ะ
 Do
คำนี้เราจะเห็นกันบ่อยมากเลยใช่มั้ยล่ะคะ เพราะ มันสามารถเป็นได้ทั้งคำกริยาแท้ (Main verb) และคำกริยาช่วย (Helping verb or Auxiliary verb) ซึ่งในที่นี้เราจะกล่าวถึงคำนี้ในหน้าที่ของกริยาแท้นะคะ
เราจะใช้ Do เมื่อเราต้องการพูดถึงการทำกิจกรรม หรือ การกระทำที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละวัน โดยที่กิจกรรมเหล่านั้นไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการลงมือทำ เช่น
Do a crossword. (เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้)
Do the ironing. (รีดผ้า)
Do the laundry. (ซักผ้า)
Do the washing. (ทำความสะอาด)
Do the washing up. (ล้างจาน)
Do the gardening. (จัดสวน/ทำสวน)
Do the shopping. (ซื้อของ)

Friday 22 July 2011

Singular and Plural Nouns (คำนามเอกพจน์และพหูพจน์)

ครั้งที่แล้วเราได้ทำความเข้าใจเรื่องคำนามนับได้และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable Nouns) ซึ่งคำนามที่นับได้ในภาษาอังกฤษนั้นก็จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั่นก็ึืคือ คำนามเอกพจน์ และคำนามพหูพจน์

1. คำนามเอกพจน์ (Singular Nouns) คือ คำนามที่มีเพียงสิ่งเดียว ชิ้นเดียว (ต้องนับได้ด้วยน่ะค่ะ) คน ๆ เดียว หรือมีเพียงจำนวนเดียวเท่านั้น เช่น

        คนเดียว  เช่น  a man, a doctor
        ตัวเดียว  เช่น  a dog, a pig, a bird
        อันเดียว  เช่น  a apple, a book,  a car
        สถานที่เดียว  เช่น  a school, a bank

Indefinite Articles (A / An)

ถ้าพูดถึงคำนำหน้านามในภาษาอังกฤษก็จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

          1. Indefinite Articles คำนำหน้านามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น a, an และ
          2. Definite Articles คือ คำนำหน้านามที่ชี้เฉพาะเจาะจง ก็คือ the นั้นเอง

การใช้ a/an จะใช้นำหน้าคำนามนับได้ (Countable Nouns)  ที่มีรูปเอกพจน์ (Singular Nouns) เท่านั้นค่ะ และอย่าลืมว่าจะต้องกล่าวถึงคำนามทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงค่ะ แล้ว a/an ใช้ต่างกันอย่างไร ดูตามคำอธิบายเหล่านี้เลยค่ะ

Monday 11 July 2011

Countable/Uncountable Nouns

Nouns (คำนาม) คือ คำที่ใช้เรียนแทนชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และแนวความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) ซึ่งถ้าจะแบ่งประเภทของคำนามก็แบ่งได้หลายแบบน่ะค่ะ แต่ในบล็อกนี้ข
อพูดเฉพาะ Common Nouns หรือคำนามทั่วไป ที่ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงก่อนน่ะค่ะ  

Common Noun (นามทั่วไป)
เป็นคำนามที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ทั่วๆไป ความคิด ( person, animal, place, thing, idea ) โดยไม่เฉพาะเจาะจง เช่น
         สิ่งของ       boy, sign, table, hill, water, sugar, desk
         สถานที่      city, hill, road, stadium, school,company
         เหตุการณ์   revolution, journey, meeting
         ความรู้สึก   fear, hate, love เวลา year, minute, millennium

Sunday 10 July 2011

Numbers


ถ้าพูดถึงตัวเลขในภาษาอังกฤษจะมีหน่วยของตัวเลขหลัก ๆ ดังตารางต่อไปนี้ค่ะ :

110100100010000001000000000
onetenhundredthousandmillionbillion

จำนวนตัวเลขในภาษาอังกฤษ มีอยู่ 2 ระบบดังต่อไปนี้น่ะค่ะ
  1. Cardinal Numbers คือ เลขแสดงจำนวน เป็นตัวเลขที่ใช้บอกปริมาณ หรือจำนวนสิ่งของต่าง ๆ เช่น Five cars, Two hundred students, Two friends เป็นต้น
  2. Ordinal Numbers คือ เลขแสดงลำดับที่ เราใช้กับการเรียงลำดับ หรือการจัดลำดับที่ เช่น ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3  มาดูตัวเอย่างภาษาอังกฤษน่ะค่ะ เช่น He is my first love. หรือ He is the first one in my heart. เป็นต้น เลขลำดับที่ยังใช้กับ วันที่ อีกด้วย เช่น วันที 1 เดือนสิงหาคม คือ the first of August  รวมถึงการบอกวันเกิดของเราด้วยค่ะ My birth date is the twenty-second of June. เป็นต้น

Saturday 9 July 2011

Verb to be (Present Simple Tense)

จริง ๆ แล้วเรื่องการใช้ Verb to be นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร ทุก ๆ คนก็คงเคยใช้กันมาแล้วและคงคุ้นเคยกับการใช้เสมอ ๆ แต่ปัญหาก็คือ เรายังคงเห็นหลาย ๆ คนยังใช้ Verb to be ผิดบ่อยครั้ง วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่อง Verb to be กันก่อนดีกว่าน่ะค่ะ

Verb to be ที่เรารู้จักประกอบด้วยหลายรูปด้วยกันดังนี้คือ is / am / are / was / were / be / been / being ซึ่งจัดเป็นกริยาประเภท linking verbs (หรือคำกริยาที่เชื่อมประธานกับคำนามหรือคำคุณศัพท์ที่ตามมา) มีความหมายแปลว่าเป็น อยู่ คือ ในภาษาไทยค่ะ อย่าเพิ่งตกใจน่ะค่ะที่เห็นรูปของ Verb to be มากมายขนาดนั้นเพราะจริง ๆ แล้วเนี่ยแต่ละรูปก็ใช้ต่างกันตามประธาน และต่าง tense ค่ะ

งั้นเรามาเริ่มต้นจากการใช้ Verb to be ใน Present Simple Tense กันก่อนดีกว่าค่ะ ใน Present Simple Tense หรือในการพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เราจะใช้ Verb to be (is / am / are) โดยมีวิธีการใช้ต่างกันตามประธานของประโยคดังต่อไปนี้ค่ะ

Is - ใช้กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 นั่นก็คือ He / She / It หรือ คน สัตว์ สิ่งของที่มีเพียงสิ่งเดียว เช่น
       He is a policeman.
       She is pretty.
       It is a car key.