Sunday 25 November 2012

There is, There are


วิธีการใช้ There is และ There are

There is / There are มีความหมายว่าว่า "มี" เป็นคำที่ใช้แสดงให้เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่ หรือ "มีอะไรอยู่ที่ไหน" เช่น

There is a chair in the roome. 

There is a red clock in the room.

There are many books on the shelf.

                                                                             There are two pillows on the bed. 

ประโยคบอกเล่า

ซึ่งหากสังเกตจากประโยคตัวอย่างข้างต้นจะพบว่า There is / There are มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับคำนามที่ใช้ในประโยค ดังต่อไปนี้ คือ

1. There is ใช้นำหน้าคำนามเอกพจน์ หรือคำนามนับไม่ได้ เช่น 
        There is a book on the table. 
        There is an apple in the basket. 
              "a book" และ " an apple" เป็นคำนามเอกพจน์
        There is water in the glass. 
              "water" เป็นคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun)

2. There are ใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ เช่น 
       There are two pens on the chair. 
       There are eight cats in the room. 
       There are children under the tree. 

Saturday 24 November 2012

Adjectives with -ed and -ing


Adjective หรือ คำคุณศัพท์หลาย ๆ คำมักจะมีที่มาจากคำกริยา โดยการนำกริยาไปเติม -ed หรือ -ing แต่ทราบกันไหมค่ะว่าการเติม -ed/  -ing ท้ายคำนั้นจะทำให้คำคุณศัพท์ต่าง ๆ มีความหมายที่ต่างกันค่ะ 

'-ed' adjectives

คำคุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย -ed มักจะใช้สำหรับการอธิบายหรือบรรยายความรู้สึกของคน หรือหมายความว่า รู้สึกนั่นเอง เช่น annoyed ก็แปลว่า รู้สึกรำคาญ interested แปลว่า รู้สึกสนใจ 
ตัวอย่างประโยค
'He was surprised to find that he had been upgraded to first class.'
'I was confused by the findings of the report.'
'She felt tired after working hard all day.'
ตัวอย่างคำคุณศัพท์ที่เติม –ed:
annoyedboredfrightenedworried
tiredclosed       exciteddelighted
disappointed

Tuesday 20 November 2012

Verb to have (have/has)

Verb to have

1. การใช้ have , has

1.1. เป็นกริยาแท้ในประโยคแปลว่า มี หรือ รับประทาน

1.2. เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของรูปประโยค Perfect Tense.

ในกรณีที่ have เป็นกริยาแท้ จะมีวิธีการใช้ต่างกันตามประธานของในประโยคดังต่อไปนี้

1. ประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 ซึ่งได้แก่ He She It หรือ ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง ใช้ has เช่น

*He has many cars. 

*Dang has a lovely dog.

*My sister has a doll.

*This cat has four legs.

รูปย่อของ has คือ she’s

2. ประธานที่ไม่ใช่เอกพจน์บุรุษที่ 3 ทั้งหมด เช่น I, You, We และประธานพหูพจน์ เช่น They ใช้ have เช่น

*They have many cows. 

*Teachers have five cars.

*I have dinner with my boyfriend. 

*We have a big house.

รูปย่อของ have คือ they've

Irregular Verbs

เมื่อคำกริยาใน past tense (Verb ช่อง 2) หรือ past participle tense (Verb ช่อง 3) ไม่ได้มีการเติม – ed ข้างท้าย เราเรียกคำพวกนี้ว่า Irregular Verbs นะครับ

เราสามมารถแบ่ง Irregular Verbs ออกเป็น 3 แบบได้ดังนี้นะครับ

1. คำ Irregular Verbs บางคำ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น present simple tense (Verb ช่อง 1), past tense (Verb ช่อง 2) หรือ past participle tense (Verb ช่อง 3) เช่น hit-hit-hit, read-read-read

2. คำ Irregular Verbs บางคำ มี past tense (Verb ช่อง 2) หรือ past participle tense (Verb ช่อง 3) ที่เหมือนกัน เช่น tell-told-told

3. คำ Irregular Verbs บางคำ ต่างกันทุกคำไม่ว่าจะเป็น present simple tense (Verb ช่อง 1), past tense (Verb ช่อง 2) หรือ past participle tense (Verb ช่อง 3) เช่น rise-rose-risen

คำบางคำสามารถเป็นได้ทั้ง regular verbs และ irregular verbs เช่น

burn -> burned หรือ burnt

dream -> dreamed หรือ dreamt

lean -> leaned หรือ leant

learn -> learned หรือ learnt

smell-> smelled หรือ smelt

spell -> spelled หรือ spelt

spill -> spilled หรือ split

spoil ->spoiled หรือ spoilt

Download Irregular Verbs list here !!!! ดาวน์โหลดกริยา 3 ช่องที่นี่ 

Saturday 17 November 2012

English Verbs Form

คำกริยาในภาษาอังกฤษ ตามหลักไวยากรณ์แบ่งออกเป็น 3 ช่อง เรียกว่า “กริยา 3 ช่อง" ซึ่งแต่ละ ช่องก็บอกถึง เหตุการณ์ในแต่ละช่วงของเวลาได้อีกด้วย

คำที่แสดงถึงอาการต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ คือ คำพูดที่แสดง ถึงการกระทำของตัวประธานในประโยค หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยคำกิริยาด้วยกันนั่นเอง กิริยาเป็นคำที่มีบทบาทที่สำคัญ ในแต่ละประโยค ถ้าในประโยคนั้น ๆ ขาดคำกิริยา ความหมายก็ไม่เกิด และไม่สามารถทราบถึงเหตุการณ์ต่าง ๆได้เลย หรือมีใจความที่ไม่สมบูรณ์

คำกิริยาตามหน้าที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1. สกรรมกริยา ( Transitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ต้องมีตัวกรรม หรือคำอื่นเข้ามารองรับความ หมายจึง จะสมบูรณ์ เช่น The boys kick football in the field. หมายความว่า พวกเด็ก ๆ เตะ ฟุตบอลอยู่ที่สนามหญ้า คำว่า “kick “ เป็น คำกิริยา บอกให้ทราบถึงเหตุการณ์ว่าในขณะนี้หรือปัจจุบัน นี้เด็ก ๆ กำลังเล่นกันอยู่ ส่วนคำว่า “ football ” เป็นตัวกรรม หรือตัวที่ทำหน้าที่รองรับกิริยาให้มีความ หมายสมบูรณ์ขึ้น เพราะถ้าใช้คำว่า “ kick “ คำเดียวความหมายไม่สมบูรณ์ ไม่ รู้ว่าเตะอะไร นั่นเอง

2. อกรรมกริยา ( Intransitive Verb ) คือ คำกิริยาที่ไม่ต้องมีตัวกรรมหรือคำอื่นมารองรับก็ได้ ความหมายสมบูรณ์ เช่น The dogs run in the field. ประโยคนี้ไม่ต้องมีตัวกรรมมารองรับ ก็ได้ใจ ความสมบูรณ์ดี ซึ่งคำว่า “run “ แปลว่า “ วิ่ง “ คงไม่ต้องถามว่าใช้อะไรวิ่ง

3. กริยาช่วย ( Helping Verb หรือ Auxiliary Verb ) คือ กิริยาที่มีหน้าที่ช่วยให้กิริยาด้วย กันมีความหมายดีขึ้น และ ยังมีหน้าที่ทำให้ตัวของมันเองมีความหมายที่สมบูรณ์ขึ้นได้ดีอีกด้วย เช่น She studies in Lamp – Tech college . Does she study in Lamp – Tech College?

Friday 16 November 2012

Past Continuous Tense

Past Continuous Tense (Past Progressive Tense) ใช้พูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต คือ มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นอยู่ และมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นแทรก

- เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ใช้ Past Continuous Tense

- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง ใช้ Past Simple Tense

โครงสร้าง Subject(S.) + was, were + V.ing + Object(O.) + (conjunction(คำเชื่อม) + Subject(S.) + V.2) Conjunction(คำเชื่อม) เช่น when, while, before เป็นต้น

หลักการใช้

1. ใช้พูดถึงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ใช้ Past Continuous Tense เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ก่อน และใช้ Past Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต มักมีวลีที่บอกเวลาด้วย เช่น 7 o'clock, all day เป็นต้น

3. ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน

Past Simple Tense

ภาษาอังกฤษแตกต่างจากภาษาไทยเรื่องของเวลา นั้นหมายความว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไปวิธีการพูดต่าง ๆ ก็แตกต่างกันไปตามเวลานั้น ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตหากจะต้องมีการพูดถึงหรือเขียนถึง กริยาในประโยคจะต้องเปลี่ยนรูปแบบไป

Past simple tense คืออะไร ใช้อย่างไร ?

Past simple tense คือ tense ที่ใช้แสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและจบเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งใน tense นี้จะมีโครงสร้างประโยคที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนนักนั้นก็คือ การใช้กริยาช่องที่ 2 นั่นเอง

เช่น I went to the market yesterday.
I played football with my friends last month.

จะเห็นได้ว่าโครงสร้างประโยคใน tense นี้นั้นไม่ยากแต่สิ่งที่ผู้เรียนควรรู้นั้นก็คือ กริยาช่องที่ 2 นั้นเป็นรูปกริยาแบบใดเพราะการเปลี่ยนกริยาให้เป็นช่องที่ 2 นั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบดังต่อไปนี้ค่ะ

1. Regular Verbs: กริยากลุ่มนี้เราสามารถเติม ed/d ลงไปท้ายคำได้เลย

เช่น walked, smiled, lived แต่ก็ยังมีกฏอักนิดหน่อยดังต่อไปนี้ค่ะ
- กริยาทั่ว ๆ ก็เติม ed ท้ายกริยานั้น ๆ ได้เลย เช่น worked, cleaned, started
- กริยาที่ลงท้ายด้วย e ก็เติมแต่ d ตัวเดียวก็พอค่ะ เช่น lived, danced
- กริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ed เช่น cry = cried, try = tried
- กริยาเสียงสั้นที่มีตัวสะกด 1 ตัว สระ 1 ตัว ให้เพิ่มตัวสะกดตัวสุดท้ายอีกตัวก่อนแล้วค่อยเติม ed เช่น planned, stopped

2. Irregular Verbs คือ กลุ่มของคำกริยาที่ต้องเปลี่ยนรูปไปเลย นั้นก็คือกริยาสามช่องที่เราเคยท่องตอนเด็ก ๆ น่ะค่ะ
- begin - began
- run - ran

Saturday 10 November 2012

Present Continuous Tense


Present Continuous Tense หรือ Present Progressive Tense คือ โครงสร้างประโยคที่ใช้ในการแสดงความเป็นปัจจุบัน เมื่อต้องการแสดงให้รู้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นกำลังเกิดขึ้นในขณะที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่ ตัวอย่างเช่น

1. การกระทำนั้นกำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูดประโยคนั้น เช่น

I am reading a book.

John is playing football.


2. เป็นการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งผู้พูดเชื่อว่าจะกระทำอย่างนั้นจริง ๆ เช่น

Malee is going to Chiangrai tomorrow.

We are buying this car.

รูปคำกริยา (Verb Form) คือ is / am / are + คำกริยาเติม ing

จะใช้ is หรือ am หรือ are ขึ้นอยู่กับประธานของประโยคดังนี้

1. ถ้าประธานเป็น I ต้องใช้ am เช่น

I am reading a book.

I am doing homework.

2. ถ้าประธานเป็น We / You / They หรือ พหูพจน์ ต้องใช้ are เช่น

We are reading books.

John and Jim are playing football.

3. ถ้าประธานเป็น He / She / It หรือเอกพจน์ต้องใช้ is เช่น

He is reading a book.

Tony is speaking Chinese.

Present Simple Tense

Present Simple Tense คือ Tense ที่ใช้เมื่อพูดถึงสิ่งที่เป็นความจริงโดยอาจเป็นความจริงในขณะนั้น 

เช่น  ความสามารถเฉพาะอย่างของบุคคลหนึ่ง หรือกิจวัตรประจำวัน

ของบุคคลหนึ่ง เช่น หรือสิ่งที่เป็นความจริงตลอดกาล เช่น

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ

1. John plays football well.

2. My parents read the newspaper everyday.

3. The sun rises in the east.


วิธีการใช้ Present simple tense มีดังต่อไปนี้ คือ 

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเกิดขณะที่พูด เช่น

Ann watches television.

Ron takes a bath in the bathroom.

2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นจริงตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตเช่น

Tiger is a dangerous animal.

The earth moves around the sun.

3. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยๆซ้ำๆจนเป็นกิจวัตรประจำวันหรือประจำเดือน เช่น

My parents read the newspaper everyday.

Ann gets up at six o’clock every morning.